ทุกวันนี้เมื่อเข้า Facebook, Instagram หรือ Twitter เราจะต้องเจอปัญหาข่าวปลอมและเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) จำนวนมาก ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่เมืองไทย แต่เป็นไปทั่วโลกและยังไม่มีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมแม้จะมีการร้องเรียนเพียงใด แต่ล่าสุดทั้งสามเจ้าคงต้องเริ่มฟังบ้างแล้วเมื่อเหล่าลูกค้ารายใหญ่ประกาศแบนไม่สนับสนุนซื้อโฆษณาผ่าน Social Media ที่สร้างความแตกแยกเหล่านี้อีกต่อไป
ทำไม Facebook, Instagram, และ Twitter ถึงถูกแบน
ท่ามกลางสถานการณ์ประเด็นทางการเมืองของสหรัฐ ฯ ที่กำลังร้อนระอุ โดยเฉพาะกรณีการต่อต้านการเหยียดสีผิว #BlackLivesMatter ที่กำลังเริ่มลุกลามไปยังหลายประเทศในยุโรปด้วย ในโลกดิจิทัลบนแพลตฟอร์ม Social Media หลัก ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter นั้นก็กำลังร้อนระอุไม่แพ้กัน เต็มไปด้วยถ้อยคำและเนื้อหาที่เต็มไปการสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ระหว่างชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแพลตฟอร์มเจ้าปัญหาจอมดราม่าอย่าง Facebook เองก็ไม่ได้มีการออกนโยบายใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมาจัดการปัญหาเรื่อง Hate Speech ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ได้รับแรงกดดันจากสังคมค่อนข้างมากในเรื่องนี้มาโดยตลอด
แต่งานนี้ Social Media พวกนี้อาจต้องจัดการกับปัญหาอย่างจริงจังเสียที เพราะล่าสุดบรรดาธุรกิจเบอร์ต้น ๆ ของโลกจากทุกประเภทอุตสาหกรรมได้ทยอยกันออกมาประกาศคว่ำบาตรการ Facebook และ Twitter พร้อม ๆ กันเพื่อเป็นการกดดันให้เหล่า Social Media หันมาให้ความสำคัญกับปัญหา Hate Speech มากขึ้นอย่างจริงจัง โดยมี Unilever ของสหรัฐ ฯ ที่นำทีมกดดันแบบจริงจังสุด ๆ ประกาศระงับการซื้อโฆษณาออนไลน์ทั้งหมด บนแพลตฟอร์มของ Facebook – Instagram และ Twitter สำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกา จนถึงสิ้นปี 2020 เป็นอย่างน้อย ก่อนจะขอดูพฤติกรรมอีกทีว่าเอายังไงกันต่อสำหรับปี 2021 เป็นต้นไป
แบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ทยอยร่วมแคมเปญจ์ “หยุดความเกลียดชังสร้างกำไร”
Unilever ซึ่งเป็นหนึ่งผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) รายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเจ้าของแบรนด์คุ้นหูมากมายไม่ว่าจะเป็น Sunsilk – Pond’s – Dove – Lux – Citra – Clear – Vaseline – Breeze – Omo – Sunlight หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ปรุงอาหารตราคนอร์ ยันไปถึงไอศกรีม Wall’s – Magnum และ Cornetto อีกด้วย แค่จากชื่อก็น่าจะพอเดากันได้แล้วว่าการหยุดซื้อโฆษณาทั้งหมดของแบรนด์เหล่านี้ในประเทศหนึ่งจะส่งผลกระทบขนาดไหนต่อ Social Media ซึ่งรายได้หลักก็มาจากค่าโฆษณาทั้งนั้นและ Unilever นี่ก็เป็น 1 ใน ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของแทบจะทุกประเทศทั่วโลกที่ Facebook – Twitter เป็นที่นิยม โดยหลังจากการประกาศของ Unilever และ Coca Cola ออกมาก็ทำให้หุ้นของทั้งสองบริษัทตกฮวบทันที เกือบ 10% จากรายได้ที่คาดว่าจะหายไปเพียบ อย่าง Facebook ก็รับเงินจาก Unilever สหรัฐ ฯ ไปในปี 2019 ปีเดียวเบาะ ๆ ราว 1.3 พันล้านบาท !
Facebook มีรายได้จาก Unilever เฉพาะในสหรัฐ
ปีเดียว 1.3 พันล้านบาท
ยัง ! ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจาก Unilever ที่แบนยาวยันสิ้นปี 2020 แล้วบรรดาธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลกก็ทยอยกันออกมาประกาศร่วมแคมเปญจ์ “Stop Hate for Profit” หรือ “หยุดความเกลียดชังที่สร้างกำไร” ซึ่งเป็นการโจมตีพฤติกรรมของ Social Media Platforms เหล่านี้โดยตรง ที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เพียงไม่จัดการเนื้อหา Hate Speech แต่อาจร้ายแรงถึงขั้นจงใจให้เนื้อหาประเภท Hate Speech นั้นมีอยู่และกลายเป็นกระแส เพราะเท่ากับว่า เป็นการรวมผู้คนจำนวนมากมาอยู่รวมกันบนพื้นที่เนื้อหาดราม่าทั้งหลายนี่แหละซึ่งแปลว่าการโฆษณาอาจได้รับการมองเห็น (Impression) ที่มากขึ้นเป็นพิเศษ และแน่นอนว่ายิ่งคนเห็นมาก มันก็แปลงเป็นรายได้ของบริษัทเหล่านี้นั่นเอง
อีกแบรนด์ที่ประกาศชัดร่วมกดดันจริงจังไม่แพ้กันคือ The Coca-Cola Company ผู้ผลิตเครื่องดื่มโค้ก ที่ล่าสุดประกาศระงับการซื้อโฆษณาบนทุก Social Media Platforms ไม่ว่าจะเป็น Facebook – Instagram – Twitter – YouTube ทั่วโลก ! เป็นระยะเวลา 30 วัน ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้กันเลย และนอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ระดับโลกอีกหลายรายที่ออกมาประกาศว่าจะร่วมแคมเปญจ์นี้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Adobe | BMW | HP | PayPal | Pepsi | The North Face หรือแม้แต่ผู้ให้บริการเครือข่ายชื่อดังของสหรัฐ ฯ อย่าง Verizon ก็เอาด้วย โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเข้าชื่อเพื่อจัดตั้งเป็นสมาคม ร่วมกันกำหนดแนวนโยบายการจัดการเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมในการทำและซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์กันต่อไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีของแบรนด์เหล่านี้ที่ร่วมมือกันแสดงความรับผิดชอบเพื่อโลก Social Media ที่น่าอยู่มากขึ้นนั่นเอง
อ้างอิง: USA Today | The Verge | The Wall Street Journal
June 28, 2020 at 12:37PM
https://ift.tt/2ZkHRS8
เหล่าแบรนด์ดังประกาศแบนไม่โฆษณาบน Facebook – Instagram – Twitter เหตุจัดการ Hate Speech ล้มเหลว - Droidsans
https://ift.tt/2BaQsOR
Home To Blog
No comments:
Post a Comment